ประเพณี ศิลปวัฒนธรรม และการท่องเที่ยว
งานประเพณีและกิจกรรมที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัด
จังหวัดเพชรบุรี
มีขนบธรรมเนียมประเพณี
วัฒนธรรมและการละเล่นพื้นเมืองที่สำคัญที่นิยมปฏิบัติสืบทอดกันมาแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน คือ
งานพระนครคีรีเมืองเพชร จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี
เริ่มในวันศุกร์สัปดาห์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ รวม 10 วัน 10 คืน
เพื่อรำลึกถึงความสำคัญของประวัติศาสตร์เมืองเพชร
ตลอดจนเพื่อเผยแพร่สิ่งที่ดีงามในทุกด้านให้เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย
มีกิจกรรมที่น่าสนใจ เช่น การแสดงและสาธิตงานศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน
การแข่งขันวัวเทียมเกวียน เป็นต้น
ในช่วงของจัดงานจะมีการประดับไฟบนเขาวัง สวยงามเป็นอย่างมาก
ประเพณีวัวลานหรือวัวระดอก การเล่นวัวลานมีวิวัฒนาการมาจากการใช้วัวนวดข้าวเพราะลักษณะลานนวดข้าวเป็นวงกลม
วิธีการนวดข้าวนั้น วัวที่อยู่ใกล้จุดศูนย์กลางไม่ต้องใช้กำลังและฝีเท้ามากเพราะอยู่ในช่วงหมุนรอบสั้น
แต่วัวตัวที่อยู่นอกสุดอยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางมาก
ระยะทางที่ต้องหมุนจะยาวกว่าจึงต้องเลือกวัวตัวที่มีกำลังและฝีเท้าดี
ด้วยเหตุนี้เกษตรกรจึงคิดการเล่นวัวลานขึ้นมาเพื่อความสนุกสนานประกวดว่าวัวของใครจะมีฝีเท้าและกำลังดีกว่ากันและยังมีผลต่อการค้าขายวัวใช้งานอีกด้วยเพราะวัวที่ชนะการเล่นวัวลานจะมีผู้สนใจซื้อในราคาสูง
วัวเทียมเกวียน เมืองเพชรบุรีได้จัดให้มีการประกวดวัวเทียมเกวียนขึ้นทุก
ๆ ปี ในช่วงของการจัดงานพระนครคีรี เมืองเพชร เพื่ออนุรักษ์การละเล่นพื้นบ้านและสืบทอดประเพณี
ชาวบ้านนิยมนำวัวมาประกวดเพราะมีความหมายว่า
วัวที่มีความสมบูรณ์จะเป็นเครื่องบ่งบอกถึงฐานะความเป็นอยู่ของผู้เป็นเจ้าของ
ลักษณะการประกวดวัวเทียมเกวียนจะประกวดครั้งละ
1 คู่ กล่าวคือ
วัวจำนวน 2 ตัวต่อเกวียน 1 เล่ม หรืออาจจะประกวดทั้งสองคู่ก็มี
ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม
การเดินของวัวในระหว่างที่เดินประกวดจะมีเสาหลักปักไว้เป็นคู่ ๆ
วัวเทียมเกวียนจะต้องเดินให้ครบ 3 รอบ และห้ามวัวเดินชนเสาหลัก
ในระหว่างที่เดินอาจจะมีดนตรีบรรเลงเพื่อความสนุกสนานด้วย
ละครชาตรี เป็นละครรำที่เก่าแก่ที่สุด
ได้รับวัฒนธรรมจากละครของอินเดีย เข้ามาสู่เมืองเพชรบุรี ตั้งแต่เมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐาน
มีเพียงประวัติว่า หม่อมเมืองซึ่งเป็นหม่อมในรัชกาลที่ 5 เป็นคนเพชรบุรี ด้วยเป็น
ผู้มีความสามารถในการละเล่นละครชาตรี จึงมักเล่นถวายหน้าพระที่นั่งทุกครั้งที่เสด็จมาจนได้รับพระราชทานบริเวณ หน้าพระลาน เพื่อเป็นที่แสดงละครเป็นประจำ
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6
มีผู้นำละครนอกมาประสมกับละครชาตรี เรียกว่า ละครเข้าเครื่อง หรือละครชาตรีเครื่องใหญ่
เป็นละครที่รวมศิลปะการร้อง และการรำเข้าด้วยกัน และได้แพร่หลายมาจนถึงปัจจุบัน
ไทยทรงดำ หรือไทยดำ หรือ ไทยโซ่ง หรือ ลาวโซ่ง
เป็นชื่อกลุ่มชนเผ่าไทยกลุ่มหนึ่งในท้องถิ่นจังหวัดเพชรบุรี ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในอำเภอเขาย้อย
อาชีพหลักของชาวไทยทรงดำ คือทำนาทำไร่ หาของป่า และจับสัตว์ป่า
นอกจากนี้ยังมีความสามารถเป็นพิเศษในการจับปลาตามห้วย หนอง ลำคลอง ส่วนอาชีพรอง
คือ อาชีพจักสาน โดยเฉพาะการจักสานหลัก หรือเข่ง ภาษาของชาวไทยทรงดำ
มีลักษณะคล้ายกับภาษาไทยอื่นๆ ทั่วไป แต่มีลักษณะเฉพาะในการออกเสียงและศัพท์เฉพาะบางคำและมีอักษรเขียนของตนเองซึ่งปัจจุบันมีผู้อ่านได้น้อยลง
ทรงผมเป็นเอกลักษณ์ อีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจโดยเฉพาะทรงผมของผู้หญิงมีถึง
8 แบบ
แต่ละแบบจะบ่งบอกถึงสถานภาพของสตรีผู้นั้น
การแข่งเรือยาว ประเพณีแข่งขันเรือยาวของจังหวัดเพชรบุรีนิยมเล่นกันตามวัดต่าง
ๆ ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเพชรบุรี ตั้งแต่กลางเดือน 11 ถึงกลางเดือน 12
ซึ่งในวันแข่งเรือยาวจะเป็นวันเดียวกับที่เจ้าภาพนำผ้ากฐินทอด ณ วัดนั้น
การแข่งเรือจะมีขึ้นในเวลาประมาณเที่ยง แข่งขันเป็นคู่ ๆ เรื่อยไป
เรือยาวลำใดชนะจะได้รางวัล สมัยก่อนรางวัลไม่กำหนด ส่วนมากจะเป็นผ้าแถบ ผ้าแพรสีต่าง ๆ
โดยจะใช้ผูกหัวเรือหรือมอบกับฝีพายหญิงที่นั่งพายคู่อยู่ส่วนหัวเรือ ซึ่งจะมี 4 คู่ 5 คู่ หรือมากกว่านั้น หรืออาจเป็นผ้าขาวม้า
ซึ่งนิยมมอบให้กับฝีพายผู้ชาย
ซึ่งอาจมี
8 คู่ 10 คู่ นั่งอยู่ส่วนท้ายเรือ
เห่เรือบก
เป็นการดัดแปลงจากการเห่เรือน้ำซึ่งเป็นประเพณีดังเดิมของชาวเพชรบุรี
การเห่เรือบกเริ่มมากว่า 20 ปี
ต่อมาภายหลังจากสร้างเขื่อนเพชรปิดกั้นแม่น้ำเพชรบุรีที่อำเภอท่ายางเป็นผลให้แม่น้ำเพชรบุรีแห้งขอดลง
และส่วนตอนกลางแม่น้ำก็ตื้นเขิน ไม่เหมาะแก่การเห่เรือน้ำเหมือนในอดีต
ผู้เคยเล่นเรือน้ำจึงคิดดัดแปลงลักษณะของการเห่เรือน้ำมาเล่นบนบก
โดยเอาเนื้อร้องและทำนองมาประยุกต์ให้เหมาะสมกับท่าทางของฝีพายขณะเดินเห่
ผู้เล่นมีทั้งหญิงและชายซึ่งเป็นทั้งฝีพายและลูกคู่ ส่วนเรือที่จำลองจะประดับประดาสวยงามมาก เนื้อความที่ใช้เห่เรือบกจะเริ่มด้วยบทไหว้ครู บทเกริ่น บทเกี้ยวพาราสี บทชมนกชมไม้
มีข้อสังเกตว่าไม่มีบทว่าโต้ตอบกัน
ต้นเสียงจะเห่บทเพลงไปเรื่อยๆ
เมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลาก็จะเห่บทอำลาและอวยพรให้ผู้ชม
l เอกลักษณ์ของท้องถิ่น
1. เขาวัง ในสมัยโบราณนิยมเรียกกันว่า เขาสมน ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของพระนครคีรีซึ่งเป็นพระราชวังบนเขาสูง
นับเป็นเอกลักษณ์ของเมืองเพชรบุรีเช่นเดียวกับต้นตาลโตนด
กล่าวได้ว่าหากมีโอกาสมาเมืองเพชรบุรีแล้วไม่ได้ขึ้นเขาวัง
ก็ดูเหมือนยังมาไม่ถึงเมืองเพชรบุรี
ในสมัยรัตนโกสินทร์
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จฯมาที่เมืองเพชรบุรีและทรงพอพระราชหฤทัยกับธรรมชาติบนเขาแห่งนี้
จึงโปรดเกล้าฯให้สร้างพระราชวังขึ้นเพื่อเป็นที่สำหรับแปรพระราชฐาน มาประทับพักผ่อน
ในครั้งนั้นเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง
บุนนาค) เป็นแม่กองในการก่อสร้าง
และเมื่อสำเร็จแล้ว โปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า พระราชวังพระนครคีรี ส่วนเขาลูกนี้ก็พระราชทานชื่อให้ใหม่ว่า เขามหาสวรรค์
2.
ต้นตาล จังหวัดเพชรบุรีมีต้นตาลมากที่สุดในประเทศไทย ดังปรากฏหลักฐานจาก นิราศเมืองเพชรบุรี ของสุนทรภู่ ความตอนหนึ่งว่า ทุกประเทศเขตแคว้นแดนพริบพรี
เหมือนจะชี้ไปไม่พ้นแต่ต้นตาล ด้วยเหตุนี้
ต้นตาลจึงกลายเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดเพชรบุรี คู่กับเขาวัง หรือพระนครคีรี ปรากฏเป็นตราและธงประจำจังหวัดเพชรบุรี สืบมาจนถึงทุกวันนี้
ต้นตาลเมืองเพชรบุรีให้ผลผลิตน้ำตาลโตนดที่ดีที่สุดมาตั้งแต่สมัยโบราณตราบจนถึงปัจจุบัน
จึงมีชื่อเสียงติดปากคนทั่วไปว่า น้ำตาลเพชรบุรี เพราะมีรสหวาน
หอมอร่อย รสชาติกลมกล่อมชวนรับประทาน จนเป็นที่มาของคำว่า หวานเหมือนน้ำตาลเมืองเพชร โดยทั่วไปตามชนบทชาวนาจะปลูกข้าวและทำตาลควบคู่กันไป
ส่วนใหญ่จะนิยมปลูกต้นตาลไว้บริเวณคันนา บริเวณที่มีต้นตาลมากที่สุดของจังหวัดเพชรบุรี
ได้แก่ ท้องทุ่งตำบล
หนองไม้เหลือง ตำบลโตนดหลาย
ตำบลไร่ส้ม ตำบลโรงเข้ เป็นต้น
ในท้องที่เหล่านี้เมื่อมองผ่านต้นตาลจะมองไม่เห็นท้องฟ้าอีกด้านหนึ่ง แต่ปัจจุบันเนื่องจากมีการทำนา
2 ครั้ง
เป็นผลให้ต้นตาลปรับสภาพไม่ทันเพราะพื้นที่มีน้ำมากเกินไปเนื่องจากกลายเป็นพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขัง
ต้นตาลไม่ได้พักตัวที่เรียกว่าแต่งตัว ในที่สุดก็ต้องยืนตายภายในเวลาไม่นาน ปัจจุบันจำนวนต้นตาลจึงลดลงบ้าง
3. ชมพู่เพชร เป็นผลไม้ที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น ซึ่งชาวเพชรบุรีมีความภาคภูมิใจ โดยเฉพาะรสชาติที่หวานกรอบ
อร่อย แตกต่างไปจากชมพู่พันธุ์อื่น
ๆ หรือแม้แต่จะนำพันธุ์ของชมพู่เพชรไปปลูกที่อื่นคุณภาพก็จะไม่ดีเท่ากับปลูกที่เมืองเพชรบุรี ดังนั้นการปลูกชมพู่เพชรจึงทำรายได้ให้แก่เกษตรกรจำนวนมากความเป็นมาของการปลูกชมพู่เพชรนั้น
ปรากฏเรื่องเล่าต่อกันมาว่า นายหรั่ง แซ่โค้ว เกิดเมื่อปี พ.ศ.2358 ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมน้ำเมืองเพชรบุรี
ฝั่งตรงข้ามวัดขุนตรา ซึ่งเดิมเรียกกันว่า
บ้านสะพานยายนม นายหรั่ง มีอาชีพค้าน้ำตาลทางเรือระหว่างจังหวัดเพชรบุรี กรุงเทพฯ ต่อมานายหรั่งได้นำกิ่งตอนพันธุ์ชมพู่เพชรมา
3 กิ่ง ไม่ปรากฏว่ามาจากสวนแห่งใด ชมพู่เพชรทั้ง 3 กิ่งนี้ เป็นชมพู่เพชรรุ่นแรกที่นำมาปลูกในบริเวณแม่น้ำเพชรบุรี ซึ่งริมน้ำมีดินดี
มีความร่วนซุย น้ำท่วมถึง มีปุ๋ยและอินทรีย์วัตถุอุดมสมบูรณ์ที่เรียกว่า น้ำไหลทรายมูล มาทับถมอยู่ไม่ขาด เหตุนี้ชมพู่เพชรจึงเจริญเติบโตงอกงามให้ผลดี
สีสวยและมีรสชาติอร่อย แตกต่างไปจากชมพู่เขียวที่มีอยู่เดิม
ต่อมามีผู้ขอขยายพันธุ์ชมพู่เพชรไปปลูกบ้างแต่เจ้าของไม่ประสงค์จะให้ขยายกิ่งพันธุ์ชมพู่เพชรไปปลูกแพร่หลาย
ดังนั้นในระยะแรกชมพู่เพชรทั้งสามต้น
จึงยังไม่ได้แพร่พันธุ์ไปปลูกในที่แห่งใด อย่างไรก็ตาม
ต่อมาช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่2
ได้มีการขยายตอนกิ่งชมพู่เพชรออกจำหน่ายให้กับคนที่ต้องการในราคาประมาณกิ่งละ 200 - 250 บาท
ซึ่งนับว่าเป็นราคาที่แพงมากในสมัยนั้น และภายหลังจาก พ.ศ.2500
เป็นต้นมา
กิ่งชมพู่เพชรก็เป็นที่แพร่หลายไปอย่างกว้างขวางในทุกพื้นที่ของจังหวัดเพชรบุรี
4.
แม่น้ำเพชรบุรี หรือที่นิยมเรียกกันทั่วไปว่า น้ำเพชร เป็นธรรมชาติมีต้นน้ำจากทิวเขาตะนาวศรี
ซึ่งแบ่งเขตแดนระหว่างไทยกับประเทศสหภาพพม่า ไหลผ่านพื้นที่ในเขตอำเภอท่ายาง
อำเภอบ้านลาด วัดท่าไชย อำเภอเมืองเพชรบุรี และลงสู่ทะเลอ่าวไทยที่อำเภอ บ้านแหลมทางด้านทิศเหนือของจังหวัด
น้ำเพชร มีความสำคัญในฐานะที่เป็นศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในการพระราชพิธีสำคัญต่าง ๆ
เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาฯลฯ
ความสำคัญอีกประการหนึ่งคือ
เป็นน้ำเสวยในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวราชกาลที่ 4 สืบมา
จนกระทั่งยกเลิกไปใน พ.ศ.2465 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 6 ในอดีตกล่าวกันว่า น้ำเพชรมีรสอร่อย ใสสะอาด และจืดสนิท
จึงถือได้ว่าน้ำเพชรเป็นเอกลักษณ์ของเมืองเพชรบุรีอีกประการที่หนึ่งที่ชาวเพชรบุรีภาคภูมิใจ